มีครูหลายคนอาจยังไม่เชื่อว่าผลของการจัดการศึกษา(ฝีมือครู) ของโรงเรียนในประเทศไทย มีผลทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จากการที่ทำให้ได้พลเมืองที่ไม่มีคุณภาพพอ ไม่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง จึงทำให้สังคมวุ่นวาย แตกแยกกัน ค้าขายขาดทุน ประเทศชาติขาดการพัฒนา ฯลฯ ทั้งๆที่สังคมให้โอกาสกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้งบประมาณสูงมากกว่าทุกกระทรวงติดต่อมา 10 ปี และให้เงินเดือน รวมทั้งการเลื่อนขั้นตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วกว่าข้าราชการทุกกระทรวง แต่ผลการจัดการศึกษาล้มเหลวมาโดยตลอด
เพียงแค่ผลการทดสอบระดับชาติ (O-net) ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขอยกตัวอย่างปีการศึกษา 2549 ซึ่งมีทั้งหมด 2,594 โรงเรียน โรงเรียนที่มีผลการทดสอบเกินครึ่ง (250 คะแนน) มีจำนวน 21 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 0.8 มีผลการทดสอบเกิน 200 คะแนน จำนวน 169 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 6.52
แต่ยิ่งทดสอบคะแนนก็ยิ่งถดถอยลงไปทุกปี ผู้ใดสนใจต้องการรู้ผลการทดสอบแห่งชาติในแต่ละปี เข้าไปดูได้ที่เว็บไซด์ของ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ)(องค์การมหาชน)
และแม้จะมีการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาทุกสังกัด โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา (สมศ) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน หมดเงินภาษีอากรประชาชนไปหลายพันล้าน จำนวนโรงเรียนที่ได้รับการรับรอง จาก สมศ.มีมากขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นว่าผลของการศึกษาจะมีประสิทธิภาพขึ้นตามไปด้วย
แม้กระทั่งผลการแข่งขันในเวทีระดับต่างๆ ผลปรากฏว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับเกือบสุดท้ายทุกครั้งไป ยิ่งถ้าต้องการทราบผลการประเมินหรือทดสอบความสามารถของคุณครูที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการทดสอบ ก็ยิ่งเป็นที่น่าตกใจ เพราะผลการทดสอบ พบว่า ความรู้ความสามารถของครูประเทศไทยต่ำกว่าเกณฑ์ทุกวิชา โดยเฉพาะผลการทดสอบวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ
การศึกษาที่ล้มเหลว จะเป็นความผิดของใคร ?
ใคร?จะรับผิดชอบ
มีกรณีตัวอย่างหนึ่ง ที่อาจทำให้ครูหลายท่านอาจเห็นภาวะวิกฤตการศึกษาคุณภาพการศึกษาไทยได้ชัดเจนมากขึ้น “ .....เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้กระโดดจากชั้น 5 อาคารหอพักชายเสียชีวิต และได้เขียนจดหมายลาตายว่า “ผิดหวังที่ไม่สามารถทำคะแนนได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่โรงเรียนตั้งไว้”
(จากข่าวหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2539 หน้า 1)
ต่อมามารดาของนักเรียนที่เสียชีวิต ได้เขียนจดหมายส่งถึงโรงเรียน ผ่านหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2539 หน้า 12 มีใจความที่สะท้อนการจัดการศึกษาของโรงเรียนทั้งประเทศอย่างน่าสะเทือนใจ ว่า
“.....เมล็ดพันธ์เมล็ดหนึ่งที่รับคัดเลือกเข้าแข่งขันเข้ามาอยู่ในโรงเพาะชำของพวกคุณ จนแข่งขันได้เข้ามาอยู่ในจำนวน 100 กว่าเมล็ดพันธุ์ ก็ยังต้องมารอให้คุณจับสลาก เพราะแปลงปลูกเมล็ดพันธุ์ของพวกคุณมีที่เพาะไม่พอ จนเขาเป็นเมล็ดสุดท้าย เมล็ดที่ 80 ที่คุณเลือกขึ้นมา ฉันซึ่งเป็นแม่ของเขามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาได้รับคัดเลือกเป็นเมล็ดพันธ์ที่คุณจะรับเพาะเลี้ยงให้เติบโต เป็นกล้าไม้ที่แข็งแรงและสมบูรณ์ เขาเติบโตมาในเรือนเพาะชำนี้ได้ 6 ปี พวกคุณก็ขยับขยายเขามาลงแปลงใหม่ ทดลองให้ปุ๋ย ให้อะไรที่พวกคุณคิดค้นขึ้นมา เสร็จแล้วกล้าไม้ต้นนี้ไม่เป็นดั่งหวังไม่ผลิดอกออกผลเป็นผลไม้ทองคำดังใจของพวกคุณ กล้าไม้ต้นนี้จะทำให้พวกคุณเสียชื่อ และเป็นนักทดลองที่ไม่ประสบผลสำเร็จ พวกคุณก็พยายามขุดมันทิ้ง พยายามโค่นมัน แต่ไม่ได้ดังใจ เพราะกล้าต้นนี้เติบโตบนพื้นดินผืนนี้เป็นเวลา 10 กว่าปี ไม่สามารถที่จะรับสภาพที่ถูกขุดอย่างทิ้งๆขว้างๆ ออกไปจากพื้นที่ของพวกคุณได้ ชีวิตเขาทั้งชีวิตแทบจะอยู่กับพื้นที่ดินนี้มาตลอด
เขารู้ว่าต้นแม่ ต้นพ่อที่ส่งเข้ามาจะเสียใจ เขาจึงยอมรับที่จะถูกพวกคุณโค่นทิ้งไม่ได้ เขาจึงขอตายในพื้นที่ที่เพราะเลี้ยงเขาขึ้นมา และก็คงจะสมใจพวกคุณที่เขาตายเสียได้ จะได่ไม่เกะกะพื้นที่ของพวกคุณ คุณจะได้เลือกเมล็ดพันธุ์ใหม่ที่ดี วิเศษเลิศเลอ เพื่อที่จะเป็นต้นกล้าที่เพาะขึ้นมาแล้วทำชื่อเสียงให้กับพวกคุณได้สมหวัง ลงท้ายพวกฉันขอแสดงความยินดีกับพวกคุณที่คุณทำให้เขาจัดการตัวเขาได้........”